ชะตาของประเทศไทย..อยู่ในมือของพวกคุณ

ชะตาของประเทศไทย

อยู่ในมือของพวกคุณ

.............

วันนี้  วันศุกร์ที่  ๑๔  ธันวาคม  ๒๕๕๐   เหลือเวลาอีก  ๙  วัน   ก็จะถึงวันที่  ๒๓  ธันวาคม  ๒๕๕๐   ซึ่งเป็นวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วประเทศ   ตามรัฐธรรมนูญ  พุทธศักราช  ๒๕๕๐   ช่วงนี้ถ้าเป็นนักมวยชกบนเวที   ปี่กลองก็เริ่มเร่งจังหวะให้นักมวยรู้ตัวและเข้าทำคะแนนเพื่อชัยชนะ   นักการเมืองก็เช่นเดียวกัน   ใช้กลยุทธ์สารพัดรูปแบบ   อันประกอบด้วย   ยุ   ยอ    ลวง   ล่อ  ขอ  ขู่  ข่ม   การเลือกตั้งครั้งนี้ประเทศชาติ  ประชาชน  นักการเมือง   อยู่ในฐานะจำเลยของประเทศที่เป็นระบอบประชาธิปไตย   พฤติกรรมของพรรคการเมือง    นักการเมือง   ประชาชน   รวมทั้ง  คมช. ถูกจับตาพฤติกรรมด้วยนักข่าว   องค์กรต่าง  ๆ   จึงขอให้ทุกฝ่ายรู้ตัว่าพวกเรา...

                                     ถูกจับตาดูโดยต่างประเทศ

                                     ถูกตั้งข้อสังเกตโดยองค์กรต่างชาติ

ก็แล้วองค์กรต่างประเทศและชาวต่างชาติเขาจับตาดูอะไรในการเลือกตั้งครั้งนี้บ้าง  คำตอบก็คือ...

                                       จับตาดูการทุจริต

                                       จับตาดูการซื้อสิทธิ์  ขายเสียง

                                        จับตาดูการเลี่ยงกฎหมายเลือกตั้ง

                                        จับตาดูผู้อยู่เบื้องหลังแต่ละพรรค

                                         จับตาดูความรักในชาติบ้านเมือง

                                         จับตาดูความไม่รู้เรื่องระบอบประชาธิปไตย

การจัดตาดูอย่างละเอียดยิบด้วยกล้องโทรทัศน์ที่สามารถถ่ายทอดได้อย่างฉับพลันทันทีย่อมประจักษ์ต่อสายตาของชาวโลก   หากมีอะไรผิดพลาด   การเลือกตั้งครั้งนี้จะถูกประจานทั่วโลกให้เกิดความอับอายขายหน้า   จึงควรที่ทุกฝ่ายจะต้องรักษาหน้าของประเทศชาติของเราไว้    ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นประวัติศาสตร์ของการเลือกตั้งให้มีการอ้างถึงในด้านไม่ดีทุกครั้งไป   การเลือกตั้งจะเป็นไปได้อย่างบริสุทธิ์  ยุติธรรม   นำความเจริญมาสู่บ้านเมืองนั้น   ทั้ง  ๓   ส่วนมีความสำคัญอย่างยิ่ง   คือ   พรรคการเมือง   นักการเมือง   ประชาชนผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเลือกตั้ง  ทั้ง  ๓  ฝ่ายจะต้องทำหน้าที่ให้ถูกต้อง  คือ ....

                                            เลือกคนดีคนเก่งเข้ามาเป็นตัวแทน

                                            เลือกลงคะแนนอย่างกล้าหาญและชาญฉลาด

นั่นหมายความว่า...

                                        พรรคการเมืองและผู้สมัคร  ต้องมีปณิธาน

                                         ผู้เลือก  ต้องกล้าหาญและชาญฉลาด

สำหรับผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเลือกตั้ง   พึงตระหนัก  ดังนี้

                                         มีใจรักถิ่นฐาน

                                         มีจิตวิญญาณรักชาติ

                                         ปราศจากอคติ

                                         มีวิจารณญาณ

ทั้ง  ๔  ประการนั้นตัวการสำคัญ   คือ   ปราศจากอคติ   ๔   อคติ  แปลว่า   ไปไม่ได้   หรือ   ไปไม่รอด  ทั้งตัวเราเอง   ถิ่นฐาน   ประเทศชาติ

๑. ต้องปราศจาก   ฉันทาคติ  (ลำเอียงเพราะรัก)   คือต้องไม่เลือกโดยรักกว่าเป็น...สายรก  สายเลือด   สายคนที่เรารัก   สายพวก 

      สายพรรค  สายสำนัก  สายน้ำ

๒. ต้องปราศจาก   โทสาคติ   (ลำเอียงเพราะโกรธ)  คือ  โกรธเพราะเคยทะเลาะกับตน   โกรธเพราะคนที่เรารักฝากมาโกรธ  

      โกรธเพราะเคยขัดผลประโยชน์ของเรา

๓. ต้องปราศจาก    ภยาคติ   (ลำเอียงเพราะกลัว)   กลัวเพราะถูกขอ   กลัวเพราะถูกขู่   กลัวเพราะเขาเป็นผู้มีอิทธิพล 

      กลัวเพราะธุรกิจของตนจะหายนะ

๔. ต้องปราศจาก   โมหาคติ   (ลำเอียงเพราะหลง)   คือ...หลงว่าจะได้ยศ   หลงคำยอ   หลงผลประโยชน์ที่เขาเอามาล่อเรา 

      การเลือกตั้งจะเป็นประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์แบบได้นั้น   นอกจากอัญเชิญพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

      มาปฏิบัติแล้ว   จงดูบาลีภาษิตของหนังสือพิมพ์สยามรัฐ  ที่  พลตรี  ม.ร.ว.คึกฤทธิ์  ปราโมช   ท่านปฏิบัติอย่างเคร่งครัดในฐานะ

      เป็นสื่อสารมวลชน   ต้องมีความเป็นกลาง   เป็นประชาวพิจารณ์   ต้องเคร่งครัดจัดเจน   คำขวัญนี้สร้างประชาธิปไตยได้  

 จงภาวนาล้างใจว่า...

                                         นิคฺคณฺเห   นิคฺคหารหํ     ปคฺคณฺเห   ปคฺคหารหํ

                       แปลว่า... จงยกย่องคนดีให้ปรากฏ   จงข่มคนคิดคดทรยศให้ปราชัย

 

ก่อนเข้าคูหาเลือกตั้ง   มองมือของตนเองเป็นครั้งสุดท้าย   แล้วเอาใจอันประกอบด้วยมโนธรรมสำนึกถามมือตนเองว่า...

จะเลือกโจรเข้ามาปล้นชาติ       .... หรือ....   จะเลือกนักปราชญ์เข้ามาบริหารบ้านเมือง

 

 

                                                                พระราชวิจิตรปฏิภาณ 

                                                                       (เจ้าคุณพิพิธ)