ความโศกของชาวพม่า น้ำตาของชาวจีน

 

           พายุ “นาร์กีส” ถล่มพม่าจนเกิดความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สิน ยังไม่ทันสิ้นความขื่นขม ก็เกิดแผ่นดินถล่มในประเทศจีนขึ้นอีก เห็นภาพความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินความพลัดพรากจากคนที่รักแล้ว เกิดความเวทนาสงสาร การจะช่วยแต่ไม่มีโอกาสช่วยได้เลยก็เป็นความทุกข์  นี่กระมังที่เป็นเหตุให้พระเวสสันดรทรงอธิษฐานขอพรจากพระอินทร์ครั้งเมื่อบริจาคพระนางมัทรีให้เป็นทาน  ในพร ๘ ประการนั้นมีอยู่  ๓  ข้อ  ที่พระเวสสันดรได้ทูลอธิษฐานขอพรจากเทวดาประสิทธิ์  บุญสัมฤทธิผล   ถอดความจากคัมภีร์  ว่า...

ข้อที่สาม ยามครองราชย์                      ประชาชาติผู้ยากไร้

จะพากันสัญจรไพร                             มาขอให้บำเพ็ญทาน

อย่าอัตคัดหรือขัดข้อง                          ด้วยข้าวของและอาหาร

มีมากล้นพ้นประมาณ                           พอแก่การจะเกื้อกูล

ข้อหกหนา คราถึงนคร                         ยามเมื่อตอนอรุณสมัย

ขอเทวินทร์ปิ่นเทวาลัย                         บันดาลให้มหัศจรรย์

ให้ฝนเพชรแก้วเจ็ดประการ                 ตกจากด่านแดนสวรรค์

พรข้อนี้มีคุณอนันต์                             จอมเทวัญบันดาลดล

ข้อเจ็ดหนอ  ขอประสิทธิ์                     อย่าให้จิตข้าสับสน

ยามบริจาคคนยากจน                            อย่ากังวลปนเสียดาย

ให้ผ่องแผ้วดังแก้วมณี                           ปลอดราคีสีเฉิดฉาย

ทรัพย์พร่างพรูอย่ารู้วาย                        ดุจดังสายแห่งวารี

     ตอนนี้ก็มีความทุกข์คืออยากบริจาคให้มาก แต่ทรัพย์ที่บริจาคยังขัดข้อง  จึงเห็นความจริงของพระราชาและพระโพธิสัตว์ว่าเหตุใดพระองค์จึงทรงอธืษฐานดั่งพระเวสสันดร แต่ก็ยังมีโชคอยู่บ้างที่ท่านพระราชปฏิภาณโสภณ (มาณพ  ติกฺขญาโณ) วัดราชโอรสาราม  ท่านเคยเรียนอภิธรรมที่ประเทศพม่า ท่านได้รวบรวมปัจจัยไปถวายวัด ก็เลยได้ทำบุญกับท่านบ้าง แต่ก็ยังไม่อิ่มใจ ยิ่งเห็นสภาพของประเทศพม่า และประเทศจีน ก็ยิ่งตระหนักในพรที่พระเวสสันดรทูลอธิษฐานขอ

      ทันทีที่ข่าวเรื่องพายุนาร์กิส (ต้องเรียกว่า “มหาวาตภัย”)  ถล่มพม่า ก็ได้เห็นน้ำพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ได้พระราชทานความช่วยเหลือแบบฉับพลันทันที ด้วยพระราชหฤทัยที่เปี่ยมด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ด้วยทรงเจริญเมตตาไม่จำกัดในคน สัตว์ ด้วยทรงพระประสงค์กำจัดทุกข์ โศก โรค ภัย  นอกจากนั้น  สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯสยามมกุฎราชกุมาร พร้อมด้วยพระวรชายา ได้พระราชทานความช่วยเหลือ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงบริจาคเป็นส่วนพระองค์ในนามสภากาชาดไทย ทั้งนี้คงจะทรงให้องค์กรได้มีบทบาท อีกทั้งมูลนิธิ “เพื่อนพึ่งภายามยาก” ทรงบริจาคด้วย

       การที่ทรงบริจาคนั้นทุกพระองค์ทรงมีพระราชหฤทัยที่จะสงเคราะห์เพื่อนมนุษย์ โดยมิได้ทรงคิดเรื่องการเมือง ผลที่จะได้รับ ทรงบำเพ็ญทานบารมีเพื่อให้ผู้ที่ได้รับพระราชทานได้บริหารตน ได้พ้นทุกข์ โศก โรค ภัย  ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ที่สำคัญทรงวิจัยความจำเป็น และทรงสอบถามความต้องการของผู้รับการช่วยเหลือก่อน ทรงสร้างแบบอย่างว่า...ตักบาตรควรถามความจำเป็นของพระ  เสียสละควรถามความต้องการของผู้รับ....

เห็นหรือยังไม่ว่าประเทศพม่ารับการช่วยเหลือจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศ์โดยไม่เคลือบแคลง เพราะรัฐบาลพม่าและประชาชนเขารู้ว่าพระองค์และประเทศไทยคือมหามิตรที่ชิดใกล้ที่สุด นึกถึงเมื่อวันที่  ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ มีนักข่าว บี.บี.ซี. เล่าให้ฟังว่า  ได้เข้าไปทำข่าวการถวายพระพรชัยมงคลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ ที่มณฑลท้องสนามหลวงปรากฏว่านักข่าว บี.บี.ซี. ได้ไปเจอนักข่าวจากพม่า  แล้วก็พบว่ามีประชาชนชาวพม่า และชามอญ(รามัญ) ไปร่วมงานนั้นนับเป็นพันคน นักข่าวทั้งสองค่ายจึงได้ถามว่า....”ใครเป็นผู้ชักชวนให้มา”....พวกเขาเหล่านั้นก็ตอบว่า...”พวกเราชวนกันมากันเอง ซื้อธงเอง  เพราะอยากเห็นพ่อ  อยากมาอวยพรให้พร”... อาตมาฟังแล้วก็น้ำตาไหลในพระมหากรุณาธิคุณ และความกตัญญูกตเวที  ....”ขอบคุณ ๆ  นักข่าวที่กรุณาเล่าให้ฟัง  ขอบคุณจริง ๆ “....

     นอกจากมหาวาตภัยที่เกิดขึ้นแก่ประเทศพม่าแล้ว ประเทศจีนก็เกิดแผ่นดินถล่ม มีคนเจ็บคนตายเป็นจำนวนมาก เด็กนักเรียนจำนวนไม่น้อยติดอยู่ในซากตึก นึกถึงใจของเด็กว่าพวกเขาไปเรียนหนังสือด้วยความขยันหมั่นเพียร พวกเขาไม่รู้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้น เย็นก็อยากกลับไปอยู่บ้าน กินข้าวกับพ่อแม่และครอบครัว แต่บางคนก็ต้องมาถูกอาคารซึ่งได้อาศัยเรียนทับตาย บางคนยังไม่ตายก็คงคร่ำครวญหวนหาพ่อแม่  พ่อแม่เล่าก็คงทุกข์อย่างแสนสาหัส ทรมานใจเป็นที่สุด ความวิปโยคโศกตรมอย่างนี้สุดที่จะพรรณนาได้ ขอภาวนาว่า...สุขี อัตตานัง  ปะริหะรันตุ  จงมีความสุขกายสุขใจ  รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นเถืด....ก็คงทำได้แต่เพียงเท่านี้  และได้แต่หวังว่าสมาคมเชื้อสายจีนที่อยู่ในประเทศไทยและทั่วโลก  คงจะได้เป็นเรี่ยวแรงในการช่วยเหลือภัยในครั้งนี้

    วันนี้   ไม่อยากฟังการเมือง ไม่อยากฟังนักวิชาการอวดรู้ที่วิจารณ์เภทภัยแบบอวดดีตีฝีปาก  โดยไม่บริจาคอะไรเป็นการช่วยเหลือเลย  แต่อยากจะบอกท่านผู้อ่านว่าหากจะช่วยผู้ประสบภัยพิบัติละก็  อาตมาขอให้ท่านทั้งหลายทำมหาสังฆทาน  เจริญเมตตาพรหมวิหารธรรม  โดยการร่วมบริจาคเงินที่....มูลนิธิราชประชานุเคราะห์  หรือ  สภากาชาดไทย   หรือ มูลนิธิเพื่อนพึ่งภายามยาก  นับเป็นการเจริญเมตตาอัปปมัญญา  เป็นมหาศาลกุศล  และถ้าจะสะเดาะเคราะห์ก็บริจาคได้ เคราะห์ภัยก็จะไม่เกิดขึ้น อย่าคิดช้าไปจนไร้ประโยชน์เลย....