ธรรมมาภิบาล ในการบริหารยศ-ศักดิ์
อยากกราบเรียนถามท่านครับ...เรื่องวัดโสธร (ฉะเชิงเทรา) เป็นอย่างไรบ้าง ?
นี้คือคำถามของโยมท่านหนึ่งที่นั่งฟังการบรรยายธรรม......
คำถามนี้คงจะคาหัวใจของคนจำนวนไม่น้อย ถ้าเป็นพระนักวิชาการหรือเป็นพระชั้นผู้ใหญ่ไปบรรยายธรรม ณ ที่ใดใด ก็คงจะต้องเจอคำถามข้างต้นนี้ หรือแม้แต่วงการพระด้วยกันก็คงจะต้องถามกัน
อาตมาเมื่อได้ฟังคำถามนี้แล้ว ก็ตอบทันทีว่า...
ไม่รู้ |
คำตอบนี้ทำให้ผู้ถามผิดหวัง แต่ก็ได้บอกว่า..เอาล่ะ ! เมื่อถามแล้วก็จะตอบให้เป็นประโยชน์แก่ตนและแก่การบริหารเองค์กร ในฐานะที่อาตมาเคยเป็นเลขานุการรองเจ้าคณะภาค เลขานุการเจ้าคณะภาค เลขานุการวัด ฯลฯ จะเอาความผิดพลาดและความสำเร็จในการบริหารงานมาเป็นเรืองบรรยายเสียวันนี้เลย เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์แก่ "ท่าน และ การบริหารองค์กร"
การที่ปฏิเสธในการตอบคำถามอย่างข้างต้นนั้น เพื่อตัดความอยากรู้อยากเห็นในเรื่องที่มิใช่เรื่องของตัว เพราะยึดตามคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสสอนเรื่องให้คนทำประโยชน์ของตนให้สมบูรณ์ แล้วจึงเกื้อกูลต่อคนอื่น อีกทั้งยึดถือคำสอนแต่โบราณว่า... "ไม่เรียกอย่าขาน ไม่วานอย่าไป ไม่ใช่เรื่องของเราช่างเขาประไร" แต่ที่ตอบว่าจะเปลี่ยนหัวข้อบรรยาย ก็เพราะยึดเอาสถานการณ์เฉพาะหน้ามาเป็นประเด็นในการพูดคุยให้เกิดประโยชน์ เหมือนกับที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงใช้วิธี... "ปรารภเหตุปัจจัย หันเข้าหาเรื่องในอดีตกาล ทรงประทานคำสอน"...
หลักของการเขียน การเทศน์ การบรรยายธรรม อาตมาก็ยึดหลักปฏิบัติ และแนะนำให้พระนักเขียน นักเทศน์ ได้นำไปใช้ คือ... "ปรารภเหตุปัจจัย หันเข้าหาคำสอนของพระพุทธเจ้า วางเค้าโครงเรื่อง หาเรื่องปรุงรส กำหนดลีลาแสดง"
ในฐานะที่เคยยุ่ง ๆ เกี่ยว ๆ กับการแต่งตั้งพระสงฆ์ให้ดำรงตำแหน่งทางการปกครอง และเสนอการแต่งตั้งสมณศักดิ์ จึงใคร่จะขอแนะนำวิธีการของนักปกครองที่ประสบความสำเร็จโดยยึดวิธีการของ ๒ สมเด็จ คือ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เสงี่ยม จันทะสิริ) อดีตเจ้าอาวาสวัดสุทัศนเทพวราราม ซึ่งท่านมรณะภาพเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๖ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเกณฑ์ในการพิจารณา นำเสนอ และ แต่งตั้ง โดยข้อแม้ว่า...ปราศจากอคติ มีวิจารณญาณ ยึดหลักการให้มั่นคง ... รับรองไม่มีผิดพลาดอันจะเป็นผลเสียแก่ตนและแก่องค์กร
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เสงี่ยม จันทะสิริ) เท่าที่ได้สัมผัสงานของท่านในระยะเวลา ๗ ปี ของความเป็นเจ้าอาวาส พระอุปัชฌาย์ และเจ้าคณะใหญ่หนเหนือ ท่านจะรับใครและแต่งตั้งพระรูปใด ท่านจะมีวิธีการ "ดูแวว คือ แวววาม และแววไว" ประมวลและแยกแยะได้ ดังนี้
๑. ดูหน่วยก้าน คือดูบุคลิก ลักษณะ กิริยามารยาท ดูความผึ่งผายองอาจ ดูความเคารพและฉลาดในการโต้ตอบ
๒. วิชาการ คือ ดูความรู้ในระดับที่เป็น ไม่ดูเกิน เพราะความรู้จริงในระดับที่เป็นสำคัญอย่างยิ่ง จึงซักถามเรื่องต่าง ๆ จนเป็นที่พอใจ
๓. การปฏิบัติงานที่ผ่านมา คือ ดูการปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมาย ที่สำคัญท่านย้ำเสมอว่า ต้องเรียนรู้วิชาด้านเลขานุการด้วย
๔. ดูความรักความศรัทธาของตนในองค์กร คือ ดูความเป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ์กับคนในองค์กร ซึ่งจะเป็นส่วนที่จะสนับสนุนหน้าที่และได้รับการอุปการะจากผู้ที่อยู่ในระดับสูงขององค์กร
ส่วนที่ว่าดูจากคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เพราะสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัส " เกณฑ์การพัฒนาตน และ การแต่งตั้งคนในยศศักดิ์" ไว้ว่า...
อุฏฐานะวะโต สะตีมะโต | สุจิกัมมัสสะ นิสัมมะการิโน |
สัญญะตัสสะ จะ ธัมมะชีวิโน | อัปปะมัตตัสสะ ยะโสภิวัฑฒะติ |
แปลว่า... ยศย่อมเจริญแก่คนขยัน ไม่พลั้งเผลอ ทำงานสะอาดเรียบร้อย วางแผนดี มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีศีลธรรม เป็นผู้ไม่ประมาท
เกณฑ์ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสนี้ เป็นทั้งคุณธรรมที่พัฒนาตน เป็นทั้งแว่นแก้วที่ผู้บังคับบัญชาจะใช้เป็นเครื่องมือสอดส่องแต่งตั้ง เลื่อนระดับ ปรับเงินเดือน เมื่อผู้ใต้บังคับและผู้บังคับบัญชามีเกณฑ์ที่ใช้ร่วมกัน เวลาพิจารณาก็ง่ายขึ้น เวลาไล่เลียงหรือตรวจสอบก็จะเห็นความสมบูรณ์และความบกพร่อง ไม่ต้องมานั่งเถียงกัน คุณธรรม ๗ ประการนี้ จึงควรเป็นสมุดสะสมงานที่ฝ่ายบริหารบุคคลจะพิจารณาและนำเสนอ ผู้บกพร่องก็ไม่มีข้อโต้เถียง ยอมรับกันและกัน ผู้บังคับบัญชาก็ไม่ต้องมาเป็นศัตรูกับผู้ใต้บังคับบัญชา ผู้บังคับบัญชาก็ไม่สามารถเอาแต่ใจตอนเองได้ ความเป็นธรรมก็เกิดขึ้น ทุกคนก็รู้เกณฑ์ของตน ๆ พระพุทธพจน์นี้จึงเป็น "ธรรมาภิบาลขององค์กร" สำคัญอยู่ที่ "ผู้นำองค์กร" จะกล้าใช้ธรรมาภิบาลหรือเปล่าเท่านั้น เพราะนักบริหาร หรือ ผู้นำองค์กร บางคน ต้องการบริหารแบบ "อำนาจบาทใหญ่" โดยหารู้ไม่ว่า... นั่นคือที่มาของความหายนะอันจะเกิดมีแก่ตนและบุคคลในองค์กร"