หลากคำถามที่เกี่ยวกับ พระ

หลากคำถามที่เกี่ยวกับ "พระ" 

ถามว่า...ทำไมพระจึงใช้ย่ามสีสวยแจ๋วแหวว เห็นแล้วทำใจไม่ได้ บางทีก็สีชมพูหวานเจี๊ยบ ?

       ตอบว่า...เพราะพระท่านถือวันเกิดเป็นเกณฑ์ในการทำย่าม เช่นวันจันทร์ สีเหลือง วันอังคาร สีชมพู ฯลฯ ส่วนสีชมพูนั้น งานเกี่ยวกับสมเด็จพระราชาคณะท่านก็ถือเอาสีชมพูในการทำตาลปัตร ย่าม เพื่อให้รู้กันว่าเป็นงานฉลองสมเด็จ ฯ วันเกิดสมเด็จ ฯ งานพระราชทานเพลิงศพ (ออกเมรุ) สมเด็จ  ส่วนเหตุผลที่ทำไมอาสนะสมเด็จต้องเป็นสีชมพูนั้นยังไม่แจ้งใจ แต่ที่ท่านทำใจไม่ได้นั้นก็เป็นเรื่องที่เหมาะอยู่ เพราะสีอย่างนี้มันไม่ใช่สีของพระร คือ สีไม่คล้อยตามพระวินัยในเครื่องย้อมจีวร ๘ สี  แต่แหม..!  เวลาได้รับย่ามสีชมพูเดินเข้าวัด เณรน้อยเณรหนุ่มขอกันเกรียว อาตมาก็เลยไม่ได้ใช้ก็รอดตัวไป เดี๋ยวนี้อายุมากแล้วจะใช้ย่ามสีกาววาว โจ๊ดจ๊าบ ก็อายสายตาคน ส่วนกฎเกณฑ์ในการใช้สีย่าม สีตาลปัตร รองเท้า จเป็นอย่างไร ก็สุดแต่สมณสัญญาและการคณะสงฆ์ท่านจะคิดและแนะนำ พูดมากไปพาดพิงพระผู้ใหญ่เดี๋ยวยุ่ง  ถ้าห่านรูปใดรูปหนึ่งท่านทราบ ท่านก็จะคิดและนำเสนอมหาเถรสมาคมเอง

       ถามว่า...พระใช้โทรศัพท์มือผิดวินัยหรือไม่ ?

       ตอบว่า...เรื่องการใช้โทรศัพท์มือถือของพระนั้นชาวบ้านเขาอนุโมทนามานานแล้ว เพียงแต่ว่าเขามีข้อแม้ เช่น สีของโทรศัพท์อย่าให้มันหวานจนเกินสมณบริโภค รุ่นของโทรศัพท์อย่าให้มันเกินของชาวบ้าน โอกาสในการใช้โทรศัพท์อย่าให้ประเจิดประเจ้อ กิริยาคุยโทรศัพท์อย่าเดินไปโทรไป หรือหัวเราะต่อ กระซิกขณะคุย ส่วนการใช้นั้นก็อาจเสี่ยงต่ออาบัติสังฆาธิเสส (อาบัติเกือบขาดจากพระ) เพราะถ้ามีการเกี้ยวพาราสีสตรีเพศ โทรศัพท์ก็ถือว่าเป็นการคุยกับสตรีในที่ลับหูลับตา หรือ การส่งภาพลามก หรือรับภาพลามก อนุโลมกับคอมฯที่เสี่ยงต่ออาบัติพระ  เรื่องนี้ต้องสอนกันให้มาก โยมเขาอนุโลมแล้ว พระ-เณร จะทำอย่างไรอยู่ที่เจ้าอาวาส  มหาเถรสมาคมท่านจะแนะนำเป็นการภายใน กระโตกกระตากไปก็ไม่ดี เงียบเสียเลยก็ไม่ดี

       ถามว่า...ศัพท์เรื่องที่อยู่อาศัยของพระ เณร ชี ควรเรียกอย่างไร ?

       ตอบว่า...โบราณเขากำหนดว่าที่อยู่ของพระเรียกว่า "กุฎิ หรือ กุฎีสงฆ์" ส่วนแม่ชีโบราณเขากำหนดเรียกว่า "กุฎิ์" หรือ กุฎิ์ชี

      ถามว่า...การใช้ศัพท์ระหว่างพระกับโยมผู้หญิง  ควรใช้อย่างไร ?

       ตอบว่า...โยมทั่วไปพระก็เรียกทุกคนว่า "โยม"  แต่อาจจะระบุลงไปว่า โยมพ่อ โยมแม่ โยมน้าฯ ส่วนในหลวง และ พระราชินี เรียกว่า "สมเด็จบรมราชบพิธ" นักการเมืองหรือผู้มียศตำแหน่งเดี๋ยวนี้พระท่านเรียกว่า "ทั่น" เช่น ทั่นรัฐมนตรี ทั่น ผอ. ฯลฯ


     ส่วนโยมผู้หญิงกับพระโบราณท่านเรียกอย่างนี้...
- โยมผู้หญิงที่รับอุปการะ ดูแลพระ ส่งให้เล่าเรียน   เรียกว่า "โยมอุปถัมภ์"
- ถ้าพระบวชมาแล้ว  แต่มีภรรยาก่อนบวชซึ่งไม่ได้หย่าร้างกัน เรียกว่า "โยมอุปัฏฐากพระ"
- ถ้าเป็นแฟนกันแล้วมาบวช  มีความหวังที่จะแต่งงานกัน ผู้หญิงคนนี้เขาเรียกว่า "โยมสีกาพระ..."
- ถ้าพระรูปนั้น ๆ  ไม่เคยมีภรรยามาก่อนบวช หรือ ไม่เคยมีแฟน แต่มีผู้หญิงมาทำท่าชอบพอ ไม่ว่าจะเป็น  
   สาว สาวแก่  แม่ม่าย เขาเรียกผู้หญิงพวกนี้ว่า...อีนางมาร"...

       ถามว่า...ทำไม จึงให้แฟนนาคถือหมอนในเวลาบวช ?

       ตอบว่า...คำถามนี้สงสัยมานานแล้ว ก็เพิ่งมาแจ้งใจเมื่อไม่นานมานี้ คืออย่างนี้..คนโบราณท่านสุดแสนจะฉลาด ถ้านาคที่จะบวชมีภรรยา หรือ แฟน  เวลาบวชอยู่นั้นท่านไม่สามารถจะดูแลภรรยาท่านได้ หรือ ป้องกันแฟนท่านได้ เป็นการปรามพวกผู้ชายว่า...อย่านะเว้ย  ผู้หญิงคนนี้เขาเป็นโยมอุปัฏฐาก หรือ สีกาพระ  องค์นั้นองค์นี้  พวกมึงอย่าไปยุ่งเกี่ยวนะ  พระท่านไม่มีโอกาสสู้รบปรบมือ  ถ้าพวกมึงไปยุ่งของพระถือว่าเลว  และถ้าพระท่านหวงแล้วแหกผ้าเหลืองสึกมา  พวกมึงนรกกันกบาล  ของสงฆ์อย่ายุ่งมันเป็นบาป อีกทั้งเป็นบอกผู้หญิงทั้ง่หลายว่านาคทีจะเป็นพระนี้เขามีคู่ครอง คู่หมายปองแล้ว อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับท่าน แต่ก็อาจมีคำถามว่าถ้ามีแฟนหลายคน จะแบ่งหมอนกันอย่างไร ?  ข้อนี้ก็ขอตอบว่า "งานบวชล่ม" เพราะผู้หญิงมันจะตบตีกันในงานบวชหรือชี้หน้าด่านาคในเวลาเข้าโบสถ์  อันนี้เห็นมาเยอะแล้ว คือ  เห็นมากับตา  ไม่ใช่เคยมากับตัว

       ถามว่า... ทำไมเวลาพระให้ศีล บางรูปก็ว่า " ติสะระณะคะมะณํง นิฏฐิตัง"  บางรูปไม่ว่า ?

       ตอบว่า... อันนี้โดยปกติแล้วก็ต้องสรุป "สะระณะคะมะณัง" ทุกครั้งที่ให้ศีล ๕, ๘   จะยกเว้นเสียมิได้เลย เพราะจะได้แยกว่า "อย่างไหนคือไตรสรณคมน์  อย่างไหนคือองค์ศีล"  แต่ก็มีพระบางรูปท่านเห็นว่า งานนี้ไม่มีมัคนายก หรือ คนอาราธนาศีล  ถ้าขืนว่า... ติสะระณะคะมะณัง นิฏฐิตัง...เจ้าภาพแทนที่จะรับว่า  อามะ ภันเต อาจจะท่องตาม  ประธานสงฆ์ท่านก็เลยให้องค์ศีลต่อไปเลย เช่น ตะติยัมปี สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ พอโยมรับด้วยการท่องตามแล้ว ประธานสงฆ์ท่านก็องค์ศีลว่า   ปาณาติปาตา ฯลฯ พระเณรบางรูปไม่เข้าใจ เดี๋ยวนี้ก็เลยเว้นไม่ว่า "ติสะระณะคะมะณัง นิฏฐิตัง"  ยิ่งประธานสงฆ์ในชั้นผู้ใหญ่จนถึงสมเด็จ ฯ ไม่ว่าตรงนี้  พระเณรก็พากันเอาอย่าง  โดยไม่รู้เหตุผล บางทีเดี๋ยวนี้บางรูปสรุปสะระณะคมน์ กลายเป็นผิดไป ทั้ง ๆ  ที่ถูก  นี่เองจึงเป็นเหตุที่มาของคำว่า "ผิดเป็นครู" คือ  มีคนเอาอย่างในทางที่ผิด ๆ 
         อาตมาเองก็เคยถูกเจ้าหน้าที่วังแนะนำว่าไม่ต้องสรุปสะระณะคมน์  ก็เลยบอกเขาแบบกระซิบข้างหูว่า..."อย่าเสือกรู้ดีกว่าฉัน  ฉันทำถูกแกหาว่าผิด  ที่สมเด็จทำผิดดันหาว่าถูก จำใส่กบาลไว้บ้าง ถ้ามีคนอาราธนาศีลแสดงว่าต้องสรุปสะระณะคมน์"....

            โอ๊ย... ยังมีอีกหลายคำถาม  แต่หมดเนื้อที คำถามต่อไปคือ  "ตักบาตรไม่ต้องถามพระ
ทำไมงาบวชแม่ต้องอุ้มผ้าไตร พ่อต้องสะบายบาตร โห่แห่นาคอย่างไรจึงถูกต้อง  ใส่ปัจจัย (เงิน" เวลาใส่บาตรได้ไหม  ทำไมพระผู้ใหญ่มีรถยนต์ทุกรูป ทำไมกุฏิพระต้องติดแอร์ พระเณรดูโทรทัศน์ได้ไหม ทำไมบาตรรพระจึงมีสีดำบางรูปก็เป็นสเตนเลสส์  อย่างไหนถูกต้อง เวลารับบาตรบางรูปก็สวดให้พรบางรูปไม่สวดให้พรเพราะอะไร   แหม... มีอีกหลายคำถามที่ควรรู้เป็นพื้น ๆ  ไว้  ส่วนคำถามอะไรที่มีอยู่ในหนังสือที่เขาขายกันก็จะไม่ตอบล่ะ  เอาไว้วันหน้าจะนำคำถามมาเฉลย   อ้อ... คำถามสุดท้าย
               สุดท้ายที่ถามมา..."ทำไมพระจีนจึงฝึกเตะ ต่อย  แต่พระไทยไม่เห็นมีอย่างนั้น"  เอ้า...จะตอบให้ทราบในตอนต่อไป....