NO VOTe และ VOTE NO (ไม่ไปเลือกตั้งและไปแต่ไม่เลือก)
วันอาทิตย์ที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔ เป็นวันที่ชาวไทยจะได้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ๒ ระบบ คือ บัญชีรายชื่อพรรคและส.ส. เพื่อให้ผู้ได้รับเลือกตั้งเข้ามาบริหารประเทศไทย อันเป็นไปตามระบบประชาธิปไตย ส่วนเมื่อผู้ใดพรรคใดได้รับการเลือกตั้งแล้วจะเข้ามา “บริหาร หรือ ผลาญ” ประเทศไทย ก็สุดแต่ “ปณิธาน หรือ โลภขันธสันดาน ส่วนตัวและพรรคการเมืองที่ตนเองสังกัด” ถ้าพวกเขารักถิ่นฐานบ้านเกิด พวกเขาก็เอาความรู้ความสามารถเข้ามาบริหารประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้า ถ้าพวกเขามากด้วยโลภขันธสันดาน ก็จะพาร่วมกันร่วมโกงกินประเทศชาติ “โกงเพื่อให้ลูกหลานของตนเองอยู่ดีกินดี” ส่วน “ประชาชนจะยากจนข้นแค้น” คนพวกนี้จะไม่อนาทรร้อนใจ คนที่มากด้วยโลภขันธสันดานแล้วเข้ามาเล่นการเมืองจึงมีพฤติกรรมเหมือนสัตว์สี่เท้าชนิดหนึ่งที่ใหญ่กว่าจิ้งจก ขนาดเท่ากับจระเข้ แต่สัตว์ชนิดนี้มีความสามารถพิเศษคือ มันกินได้ทั้งในน้ำ บนบก บนต้นไม้ มันกินได้ทั้งสัตว์สดรวมถึงซากศพอันเน่าเหม็น โบราณจึงตั้งชื่อบาลีว่า “หีนะ” ออกเสียงว่า “ฮีนะ” คำไทยๆ คือตัวหายนะ พูดไปพูดมาก็กลายเป็นคำว่า “เหี้ย” นั่นเอง
รัฐธรรมนูญได้กำหนดวิธีการเลือกตั้งโดยเกรงว่า ประชาชนจะไม่ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง จึงมีการกำหนดบทลงโทษประชาชนเอาไว้ว่า ผู้ใดไม่ไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งจะเสียสิทธิต่างๆ ผู้ไม่ไปใช้สิทธิ์ อาจเรียกได้ว่า No Vote คือไม่ไป หรือไปแล้วไม่กากบาท
ในบัตรเลือกตั้งยังมีช่องพิเศษ คือให้ใช้สิทธิ์กากบาทไม่เลือกทั้งระบบบัญชีรายชื่อพรรคและระบบส.ส. อย่างนี้ เรียกว่า Vote “No”
เป็นที่ถกเถียงกันในวงการกฎหมายถึงคำว่า Vote “No” จนทำให้ผู้รู้กฎหมายกลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตกัน จนถึงด่าทอวิวาทบนสื่อ จนถึงเถียงกันบนหน้าจออินเตอร์เน็ต ซึ่งดูเหมือนว่าใครๆ ก็เป็นผู้ถูกต้องทั้งนั้น สุดแต่ใครจะมีชื่อเสียงในทางกฎหมาย ส่วนข้อถกเถียงนั้นหามีใครสักคนไม่
ที่ทำหนังสือสอบถาม “ศาลรัฐธรรมนูญ” ส่วนศาลรัฐธรรมนูญก็ทำตัวเหมือนพญานาคที่เฝ้าถาดทองคำ พอถาดทองคำลอยทวนน้ำแล้วจมลงไปซ้อนกับถาดของพระพุทธเจ้าพระองค์ที่ผ่านมา พญานาคก็ลืมตาดูด้วยความเกียจคร้านแล้วอุทานว่า “อ้อ...จะมีพระพุทธเจ้าองค์ใหม่อีกแล้ว” จาก
นั้นก็หลับต่อไปด้วยความเกียจคร้าน ไม่เคยโผล่เศียรพ้นน้ำเพื่อดูหน้าผู้ที่จะเป็นพระพุทธเจ้า ศาลรัฐธรรมนูญก็คงประดุจเดียวกันที่ถ้าไม่มีผู้ใดยื่นหนังสือร้องเรียนก็หลับเฝ้ารัฐธรรมนูญต่อไปอย่างเกียจคร้าน ปัญหาการตีความในรัฐธรรมนูญเรื่อง Vote “No” ซึ่งเป็นประเด็น...วิจารณ์ และวิวาท... อย่างกว้างขวางในสังคม แล้วประชาชนก็ไม่รู้ว่า Vote “No” นั้น ทัศนะของใครถูกต้อง เมื่อไม่มีการวินิจฉัยโดยศาลรัฐธรรมนูญอันเป็นไปทางหลักการที่แท้จริงในการร่างรัฐธรรมนูญ ประชาชนไทยก็ไขว้เขว ไม่รู้ว่า ถ้า Vote “No” จะมีผลดีหรือผลร้ายอย่างไร จะไม่ไปเลือกตั้งก็เสียสิทธิ์ในบางเรื่อง ไปเลือกตั้งแต่ไม่มีศรัทธานักการเมืองในเขตตัวเองก็จำใจต้องกากบาท ทั้งๆที่ใจไม่ยอมรับ ถ้ากากบาท Vote “No” ก็ไม่รู้ว่าผลดี ผลเสียเป็นอย่างไร มันเป็นเรื่องที่องค์กรที่เกี่ยว
ข้องกับรัฐธรรมนูญเอาแต่นั่งประชุมและนั่งบัลลังก์แต่ขาดการติดตามสภาพสังคมและเสียงวิพากษ์
วิจารณ์ทำตัวเหมือนเจ้าอาวาสที่สร้างธรรมาสน์ใช้กลางศาลาด้วยราคาหลายแสน แต่เจ้าอาวาสก็ถือ
เอาว่าต้องมีโยมนิมนต์เทศน์จึงจะขึ้นธรรมาสน์ได้ ธรรมาสน์วัดราคาเป็นแสนเป็นล้านก็เลยร้างพระเทศน์ ไก่ขึ้นไปทำรังบนธรรมาสน์บ้าง สุนัขขึ้นไปนอน มดไปวางไข่ใต้เบาะ ฝุ่นผงลง แมลงมุมชักใยดักแมลงกิน พอมีโยมนิมนต์ก็ปัดกวาดธรรมาสน์ทีหนึ่ง พอเทศน์แล้วก็เข้าสู่อีหร็อบเดิม แต่ถ้าเจ้าอาวาสเอาใจใส่สังคมสดับตรับฟังความเป็นไปของสังคม ก็จะวิเคราะห์แล้วนำปัญหามาพิจารณา ค้นหาคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่งเทศน์แล้วขึ้นธรรมาสน์ทุกวันพระหรือหากมีการประชุมโยมแล้วขึ้นเทศน์สั่งสอน โยมก็จะเข้าใจ ปัญหาก็จะหมดไปจากสังคม ศาลรัฐธรรมนูญกับเจ้าอาวาสส่วนใหญ่ก็คงมีความเกียจคร้านพอ ๆ กัน ศาลก็ฝุ่นเกาะ ธรรมาสน์ก็ฝุ่นจับ ประชาชนและญาติโยมก็อับเฉาเพราะขาดความเข้าใจที่แท้จริงและขาดปัญญา
Vote “No” คือการใช้สิทธิในการลงคะแนนในบัตรเลือกตั้งด้วยการ “ไม่เลือก” ในบัตรลงคะแนน มีการวิจารณ์มาก บ้างก็ว่า “ไร้ประโยชน์” ไหนๆ ไปแล้วก็ต้องเลือก เพราะถ้าไม่เลือกก็เสียเวลาเสียเงินตนเอง เสียงบประมาณรัฐ เลือกคนดีเท่าที่ตนเองหาไม่ได้ ก็ขอให้เลือกคนที่ชั่วน้อยที่สุด ซึ่งคงหมายความว่า “ถ้าเห็นว่าพรรคการเมืองและผู้สมัครเป็นคนชั่วทั้งนั้น แต่ในบรรดาพรรคและผู้สมัครใดชั่วน้อยที่สุด ก็ขอให้เลือกพรรคและผู้สมัครพรรคนั้น – คนนั้น” ...เออ!...แปลกนะ! พรรคการเมืองและผู้สมัคร ยังมีเลวมากเลวน้อยกว่ากัน...ประชาชนก็ต้องมานั่งเปรียบ
เทียบความเลวของพรรคและผู้สมัครว่าใครเลวมากเลวน้อยกว่ากัน ประเทศใดในโลกนี้มีพรรคและผู้สมัครที่เลวมากเลวน้อยเหมือนเมืองไทยหรือเปล่า ? เห็นแต่เขาพูดว่า...บรรดาพรรคและผู้สมัครที่ดีที่สุด... มีแต่เมืองไทยของเราที่ต้องเลือกพรรคและผู้สมัครที่เลวน้อยที่สุด เพื่อจะได้โกงสัมปทานรัฐน้อยกว่าพรรคที่เลวมาก แล้วไอ้พรรคและผู้สมัครที่เลวน้อยที่สุด เมื่อได้รับเลือกแล้ว พอมีโอกาสสัมปทานรัฐเพียงแค่ปีสองปี มันก็โกงสัมปทานรัฐจนมีความเลวเท่ากับหรือเกินกว่าพรรคและผู้สมัครที่คิดว่าเลวแล้วไม่เลือก
Vote “No” มีประโยชน์อันใดที่รัฐธรรมนูญไม่ได้ระบุไว้ ? ควรเพิ่มเติมต่อไป หรือควรวินิจฉัยเป็นแม่บท ? ...ขอแสดงทัศนะอันแตกต่างจากกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่า...ในกรณีที่ประชาชนไปใช้สิทธิเลือกตั้งจะกี่เปอร์เซ็นต์ก็ตาม แต่ถ้าในเขตนั้นๆ ประชาชน Vote “No” มาก
กว่าผู้สมัครที่ได้คะแนนมากที่สุด ต้องมีการเลือกตั้งซ่อมทั้งเขต แสดงว่าประชาชนปฏิเสธพรรคการเมืองและผู้สมัคร เมื่อมีการเลือกตั้งซ่อม พรรคนั้นๆ ไม่มีสิทธิ์ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งซ่อม และผู้สมัครในเขตนั้นที่แพ้ Vote “No” ก็ไม่มีสิทธิ์ลงเลือกตั้งซ่อม เพราะประชาชนเขาปฏิเสธทั้งพรรคและผู้สมัครแล้ว...
ทัศนะนี้ไม่มีตราไว้ในรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ แต่ก็เป็นเรื่องที่ร่างกฎหมายประกอบในโอกาสต่อไปได้ ส่วนพรรคและผู้สมัครที่ได้คะแนนสูงสุดและต่ำลงมา แต่มีคะแนนน้อยกว่า Vote “No” ก็หมดสิทธิ์ลงสมัครซ่อม เพราะประชาชนเขาพากันประจานพรรคและผู้สมัครในความไร้ความสามารถและเห็นความเลว ประชาชนจึงพากัน Vote “No” นอกจาก
หมดสิทธิ์ส่งและลงสมัครซ่อมแล้ว ก็ควรจะเลิกเล่นการเมือง เอาปี๊บคลุมหัวด้วยความอับอายประชาชน เพราะการแพ้ Vote “No” เป็นการถูกประชาชนลงโทษอย่างรุนแรงทั้งพรรคและผู้
สมัคร พูดง่ายๆ คือ พรรคและผู้สมัครถูกประชาชนเนรเทศจากการเมือง พรรคและผู้สมัครก็ไม่ควรจะหน้าด้านส่งผู้สมัครรายอื่นลงเขตนั้นอีก เพราะประชาชนไม่เอาแล้ว พรรคใหม่และผู้สมัครรายใหม่ที่ดีกว่าก็จะถือโอกาสส่งผู้สมัครลงให้เลือก นักการเมืองเก่าที่เลวมากเลวน้อยก็จะหมดไปจากเขตและประเทศชาติของเรา
ทั้งหมดนี้ ไม่ได้พูดตามพันธมิตร ไม่ได้คิดตามนักกฎหมายที่เอียงซ้าย - เอียงขวาหาผล
ประโยชน์ ไม่ได้เขียนด้วยโกรธหรือชอบฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด... ขอยืนยันในความเป็นกลางและเป็นจริง
พระราชวิจิตรปฏิภาณ